วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ธรรมะสายไหน???

ครั้งหนึ่ง ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับหลวงพ่อสุบินภายในโบสถ์ หลวงพ่อสุบินได้สอนให้ผมละตัวกู-ของกู ผมก็ฟังเพลินเลยครับแต่มานึกขึ้นได้อีกทีว่า เอ๊ะ นี่ พระป่าสายอีสานนี่นา ทำไมสอนตัวกู-ของกู ไม่ได้การแล้ว 

เพราะภูมิหลังของผมบวชที่วัดอุโมงค์(สวนพุทธธรรม) จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทางวัดได้สอนธรรมะสายสวนโมกข์ของหลวงพ่อพุทธทาส ผมจึงโพล่งถามหลวงพ่อสุบินออกไปกลางปล้องว่า หลวงพ่อสุบินครับ หลวงพ่อสุบินเป็นพระสายอีสานไม่ใช่หรือครับทำไมไม่สอนแบบพระอาจารย์มั่นหรือของหลวงพ่อชา ทำไมมาสอนธรรมะแบบสวนโมกข์ล่ะครับ 
หลวงพ่อสุบินไม่ได้ต่อว่าหรือตำหนิอะไรผมแม้แต่น้อยเลย แต่หลวงพ่อกับชี้นิ้วไปที่พระประธานในโบสถ์แล้วกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า จะสายเหนือ สายอีสาน หรือว่าสายใต้ ก็เป็นธรรมะสายของพระพุทธองค์เหมือนกันแหละโยม

คนขุดซาก เขียน 

อาการเหงาของคนขุดซาก

ถึงแม้การขุดสำรวจไดโนเสาร์จะเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิต และเป็นเรื่องเพียงไม่กี่เรื่องที่ผมทำแล้วมีความสุข แต่สิ่งที่ผมชอบมากสิ่งนั้นก็พรากสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของผมไปนั่นคือ เวลาของครอบครัว ถูกแล้วครับผมแต่งงานแล้ว เมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๔๖
นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลาห้าปีเต็มแล้วครับ ภรรยาของผมเธอมีชื่อว่า พญ.พัชรนภา  จงอัจฉริยกุล(คุณหมอโอ๊ต) คุณหมอจบเฉพาะทางด้านโรคเลือดและมะเร็งในเด็ก ( Hematology and Oncology) จากจุฬาฯ สำหรับบทนี้ผมไม่ได้มีธรรมะใดๆ มาฝากคุณผู้อ่านหรอกครับ เพียงแค่อยากจะขอบคุณคุณหมอโอ๊ตเป็นกรณีพิเศษที่คุณหมอได้เสียสละเวลาของครอบครัว “จงอัจฉริยกุล” ของเรา เพื่อให้ผมได้เดินตามความฝันของผม ผมอาจจะเห็นแก่ตัว และไม่ค่อยมีเวลาให้กับครอบครัว แต่ผมก็อยากจะบอกคุณหมอโอ๊ตเอาไว้อีกครั้งว่า “ผมรักหมอโอ๊ตครับ”

คนขุดซาก เขียน

หัวหน้าเดือนกับต้นผ้าป่า

ในการจัดตั้งผ้าป่าเพื่อนำไปถวายที่วัดห้วยหินเกิ้งในวันมาฆบูชาปีนี้ (๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) คนที่เป็นหลัก และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงก็คือ "พี่เดือน"
พี่เดือนได้ระดมทุนโดยการไปบอกบุญตามสายต่างๆ เช่น สายกรมทรัพย์ สายเชียงราย อีกทั้งยังรับหน้าที่ทำซองผ้าป่า แม้กระทั้งเดินแจกซองผ้าป่า หัวหน้าเดือนก็ทำด้วยตัวเอง ยอดบริจาคในครั้งนี้ได้ปัจจัยเป็นจำนวนเงินสุทธิ ๕๙,๓๓๒ บาท
ผมภูมิใจแทนพี่เดือนจริงๆ ครับ แต่ไม่ใช่เหตุผลที่แกสามารถระดมเงินได้หลายหมื่นบาทนะครับ แต่ที่น่าปลื้มใจก็คือในวันมาฆบูชาที่ทางเราทำการทอดผ้าป่านั้น พี่น้องของเราทั้งที่มาจากกรมทรัพยากรธรณี กรุงเทพฯ หรือจะเป็นพี่น้องจากพิพิธภัณฑ์สิรินธร กาฬสินธุ์ มากันมากเสียจนลานวัดที่ว่ากว้างๆ แทบจะไม่มีที่เหลือพอให้จอดรถ
คนโบราณท่านถือครับ ท่านว่าให้สังเกตดูว่าบ้านไหนเวลามีการจัดงานแล้วมีญาติพี่น้องมาเยอะๆ ท่านว่าให้คบได้ บ้านไหนถ้าจัดงานแล้วญาติพี่น้องไม่ไปมาหาสู่ท่านว่าอย่าไปยุ่งกับบ้านนั้นเลยครับ จริงไหมครับพี่เดือนคนญาติเยอะ

 คนขุดซาก เขียน

วันมาฆบูชา

มาฆะ เป็นชื่อของเดือนสาม มาฆะบูชานั้น ย่อมาจากคำว่า “มาฆบุรณมี” แปลว่า การบูชาพระในวันเพ็ญเดือนสาม วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือนแปดสองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในพระพุทธศาสนา คือ เป็นวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “จาตุรงคสันนิบาต” และเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปฏิโมกข์แก่พระสงฆ์สาวกเป็นครั้งแรก ณ เวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ เพื่อให้พระสงฆ์นำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อจะยังพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป
คำว่า “จาตุรงคสันนิบาต” แยกศัพท์ได้ดังนี้คือ “จาตุร” แปลว่า ๔ “องค์” แปลว่าส่วน “สันนิบาต” แปลว่าประชุม ฉะนั้นจาตุรงคสันนิบาตจึงหมายความว่า “การประชุมด้วยองค์ ๔” กล่าวคือ มีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นพร้อมกันในวันนี้ คือ
๑. เป็นวันที่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า จำนวน ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมพร้อมกันที่เวฬุวันวิหาร ในกรุงราชคฤห์โดยมิได้นัดหมาย
๒. พระภิกษุสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” คือเป็นผู้ที่ได้รับการอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
๓. พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปที่ได้มาประชุมในครั้งนี้ล้วนแต่เป็นผู้ได้บรรลุพระอรหันต์แล้วทุกๆองค์
๔. เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงกำลังเสวยมาฆฤกษ์

คนขุดซาก เขียน

พี่แน่นกับต้นปรงแสนรัก

พี่แน่นมีอาชีพทำไร่มันสำปะหลังและเผาถ่านขายเพื่อประทังชีวิต อีกทั้งยังยกที่ดินบริเวณที่ขุดไดโนเสาร์ให้กับทางราชการ เถียงนาของพี่แน่นก็อยู่ใกล้ๆกับหลุมขุดค้นนั้นหล่ะครับ เราเลยได้ รปภ. ชั้นดีซึ่งดูแลกระดูกไดโนเสาร์ให้กับเราทั้งกลางวันและกลางคืน 

นอกจากการขุดสำรวจไดโนเสาร์แล้ว ในฐานะนักธรณีวิทยายังมีงานอีกหนึ่งอย่างที่ต้องทำควบคู่กันไปด้วยคือการทำลำดับชั้นหิน การทำลำดับชั้นหินมีความสำคัญมากในแง่ของทางธรณีวิทยา เพราะเมื่อเราทำลำดับชั้นหินเสร็จแล้วเราสามารถที่จะบอกได้ว่ากระดูกไดโนเสาร์อยู่ตรงลำดับไหนของชั้นหินที่ทำการศึกษา และยังทำนายต่อไปได้ว่าหินบริเวณด้านหน้าที่เราจะกำลังจะไป ควรจะมีกระดูกไดโนเสาร์อีกหรือไม่ 

ในช่วงเวลาที่ผมได้เดินสำรวจธรณีวิทยาเพื่อทำลำดับชั้นหินร่วมกับพี่อึ่ง พี่อ้อย นู๋หลิง รวมทั้งพี่แน่น(ซึ่งเป็นไกด์) ตลอดข้างทางที่ทำการสำรวจธรณีวิทยา ผมสังเกตเห็นว่ามีต้นปรงป่าซึ่งเป็นพืชโบราณร่วมสมัยกับไดโนเสาร์ ขึ้นอยู่ในบริเวณชั้นกรวดค่อนข้างมาก 

ผมจึงสอบถามพี่แน่นไปว่าบริเวณนี้เป็นป่าชุมชนไหมหรือเป็นที่มีเจ้าของ เพราะผมอยากได้ต้นปรงเอาไปจัดสวนที่พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียงสักต้นสองต้น เนื่องจากต้นปรงญี่ปุ่นมีราคาแพง ต้นสวยๆก็ปาเข้าไปหลายหมื่นบาทแล้ว 
พี่แน่นบอกกับผมว่าเคยมีบริษัทรับจัดสวนมาจ้างแกขุด เขาให้ต้นละห้าร้อยบาทแต่แกไม่ขาย เหตุผลที่พี่แน่นไม่ขายเพราะพี่แน่นกลัวต้นปรงจะหมดไปจากบ้านเกิดเมืองนอนของแก แต่ถ้าผมจะเอาก็เอาไปได้และจะเอากี่ต้นก็ได้ แถมแกจะขุดให้ด้วยซ้ำเพราะผมเอาไปทำประโยชน์ต่อสาธารณะ 

เอาอีกแล้วครับความงามของชีวิต โดนตีแสกหน้าอีกแล้วครับคนบ้านนอกคอกนาได้เรียนหนังสือหนังหาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่น้ำใจพี่แน่นช่างประเสริฐและสูงกว่าคนใส่สูทผูกไทด์เป็นร้อยเป็นพันเท่า ขอบคุณพี่แน่นมากครับสำหรับต้นปรงและความงดงามของชีวิตที่พี่มีให้กับผม

คนขุดซาก เขียน

ทำเพื่อแผ่นดิน

หลายๆคนในทีมขุดสำรวจไดโนเสาร์คงจะแปลกใจในตอนแรกที่ทำการฝังเสาเพื่อล้อมตาข่าย เพื่อป้องกันการลักลอบขุดค้นแหล่งจากบุคคลผู้ไม่ประสงค์ดีแต่ประสงค์จะเอากระดูกไดโนเสาร์ 

เหตุที่น่าแปลกใจก็เพราะว่าในการฝังเสานั้นมีเสาต้นหนึ่งที่เกินมา แต่หลังจากที่ทำการล้อมตาข่ายเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วพี่อึ่งหรือหัวหน้าเดือน(ชื่อที่เรียกกันในสนาม) ก็สั่งให้คนงานตัดไม้ไผ่มาลำหนึ่งและให้นู๋หลิงเอาธงชาติที่ได้เตรียมไว้ออกมา 

สรุปว่าเสาที่เกินมานั้นเป็นความตั้งใจของพี่อึ่งครับแกต้องการทำเป็นเสาธง ผมก็แซวแกกับไปว่าตอนนี้เราก็อยู่ที่ประเทศไทยนะครับกลัวเขาไม่รู้เหรอว่าเราอยู่ที่ไหน พี่อึ่งก็ยิ้มประพิมพ์ประพายและบอกกับผมด้วยความสุขุมแบบลุ่มลึกที่สุดว่า พี่อึ่งไม่ได้กลัวเขาไม่รู้หรอกครับว่าเราอยู่ประเทศอะไร แต่พี่อึ่งกลัวเราไม่รู้ว่าเรากำลังทำงานให้ใครต่างหาก 

การที่เราได้เกิดมาบนแผ่นดินไทยแผ่นดินนี้ก็ถือว่าเป็นบุญกุศลของเรามากแล้ว หากไม่คิดจะทำอะไรเพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดินบ้างมันก็เสียชาติเกิด หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาทางคณะสำรวจไดโนเสาร์ก็ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการที่จะต้องไหว้ธงชาติทุกเช้าก่อนที่จะเริ่มงาน และตอนเย็นต้องไหว้ธงชาติอีกหนึ่งครั้งหลังจากที่เราเลิกงาน

คนขุดซาก เขียน

ผีกุฏิสอง

สาเหตุมาจากการที่ผมเป็นคนรักความสบายเลยทำให้ไม่อยากจะนอนเต้นท์ เนื่องจากเรานอนอยู่บนชั้นตะกอนกรวด ผมจึงมองหารีสอร์ทคือกุฏิว่างๆซึ่งอันที่จริงมันก็มีว่างอยู่สองสามกุฏิ เมื่อทำการเข้าไปสำรวจอย่างคร่าวๆผมก็สมัครใจว่าจะเข้าไปพักที่กุฏิสองเพราะเป็นกุฏิขนาดกะทัดรัดไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไปแถมยังมีห้องน้ำในตัว

แต่หนักใจตรงที่ว่าเมื่อเข้าไปข้างในกุฏิกับพบว่าค่อนข้างสกปรกมากมีฝุ่นและขี้ตุ๊กแกเต็มพื้นไปหมด ไอ้ผมจะทำความสะอาดเองก็ขี้เกียจ ครั้นจะวานคนงานให้ทำความสะอาดก็เกรงใจเขาเพราะขุดดินมาทั้งวันเหนื่อยกันมาเต็มที่แล้ว ผมเลยตัดใจทนเจ็บหลังนอนเต้นท์เหมือนเดิม
พอมีโอกาสได้เล่าเรื่องที่จะไปนอนที่กุฏิสองให้น้องฟลุ๊คฟัง น้องฟลุ๊คก็อดที่จะขำไม่ได้ และบอกกับผมว่าดีแล้วที่ผมตัดสินใจนอนเต้นท์ดังเดิม ผมก็เอ๊ะใจแล้วว่าถ้าพูดอย่างนี้มันต้องมีอะไรที่ไม่ปกติแน่ๆผมจึงสอบถามให้รู้เรื่อง น้องฟลุ๊คบอกกับผมว่าเดิมทีมีพระบวชใหม่(พระนวกะ) มาพักอยู่ที่กุฏิสองซึ่งปกติก็ไม่มีอะไรเพราะหลวงพ่อสุบินให้น้องฟลุ๊คมานอนเป็นเพื่อนพระบวชใหม่
แต่มีวันหนึ่งที่น้องฟลุ๊คติดธุระไม่สามารถมานอนเป็นเพื่อนได้ เท่านั้นล่ะครับเกิดเรื่องกับพระคุณเจ้ารูปนั้นเลย ตอนแรกพวกก็มาแค่มองตากันสักพักพวกมาอำจนกระดุกกระดิกตัวไม่ได้ เชื่อไหมครับเล่นซะรุ่งเช้าพระคุณเจ้าจับไข้จนบิณฑบาตไม่ได้เลย เกือบไปแล้วผม ดุเสียจนพระเจ้าก็ไม่ละเว้นเลยคุณผีที่กุฏิสองเนี่ย

คนขุดซาก เขียน

พระจันทร์ ดวงดาว และแม่

นอกจากพระจันทร์ที่บ้านของผมแล้ว ผมว่าบนโลกใบนี้ไม่มีที่ไหนที่พระจันทร์จะสวยได้เท่ากับพระจันทร์ที่วัดห้วยหินเกิ้งได้เลย เหตุผลที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะว่าช่วงเวลาที่ผมพักอาศัยอยู่ที่วัดห้วยหินเกิ้งนั้น 

ผมได้เห็นทั้งพระจันทร์ขึ้นและพระจันทร์ตกดิน หลายๆคนอาจจะชอบไปนั่งมองดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าหรือไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกดินยามเย็น แต่คุณไม่รู้หรอกว่าพระจันทร์ตกดินสวยกว่าพระอาทิตย์ตกดินเป็นไหนๆเหตุผลของผมก็คือ เวลาที่พระจันทร์ตกดินคือเวลาที่เริ่มวันใหม่ของชีวิต 

การมีชีวิตและการได้มีโอกาสดูวิถีชีวิตช่างงดงามอะไรอย่างนี้ มีคนเคยพูดให้ผมฟังว่าคนเราต้องลำบากเสียก่อนถึงจะนึกถึงพ่อแม่ ส่วนตอนที่อยู่สุขสบายไม่ค่อยคิดถึงท่านกันหรอกครับ ไม่เชื่อลองนับจำนวนการใช้โทรศัพท์ของคุณในแต่ละวันก็ได้ คุณโทรหาพ่อหาแม่วันละกี่ครั้งต่อจำนวนการใช้โทรศัพท์ในแต่ละวันของคุณ แต่คำพูดเหล่านั้นใช้ไม่ได้กับผม 

ผมเป็นลูกชายคนเล็กจึงติดแม่มาก(จนเกินไปหน่อย) ตอนเป็นเด็กก็ร้องไห้กลับบ้าน และไม่ยอมไปโรงเรียนเพราะอยากอยู่กับแม่ ตอนเรียนในระดับอุดมศึกษา ผมก็ขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้านทุกเสาร์-อาทิตย์ ปัจจุบันนี้ผมแต่งงานมีครอบครัวออกเรือนไปแล้ว ผมยังคิดถึงแม่ผมอยู่เลย มีโฆษณาตัวนึงที่ทำได้น่าสนใจคือโฆษณาของสิงห์ ในโฆษณาได้กล่าวว่า “การที่เราจะตีกอล์ฟไปดวงจันทร์ ถึงแม้ว่ามันจะไปไม่ถึงดวงจันทร์ มันก็ยังตกอยู่ท่ามกลางดวงดาว” หากถ้าผมเป็นคนตีกอล์ฟ ผมจะไม่ตีไปดวงจันทร์หรอกครับแต่ผมจะตีให้ลูกกอล์ฟไปตกที่บ้านของผม เพราะความสุขและความหมายของชีวิตทั้งหมดของผมอยู่ตรงที่นั้น ที่ที่เรียกว่า “บ้าน”

คนขุดซาก เขียน

กองไฟของกิเลส

ในช่วงเวลาของการไปพักค้างแรมที่วัดห้วยหินเกิ้ง หลายๆคนในทีมสำรวจไดโนเสาร์อาจจะสงสัยในวัตรปฏิบัติของผม
ทุกเช้าผมจะตื่นนอนเวลาประมาณตีสี่และพอทำกิจธุระส่วนตัวเสร็จ ผมก็จะนำเศษไม้ที่หาเอาไว้ตอนเย็นมาก่อกองไฟ  พอตีห้าครึ่งหลวงพ่อสุบินก็จะเปิดเทปธรรมะให้เราชาวคณะสำรวจไดโนเสาร์ได้ฟังธรรมะกัน ผมก็นั่งฟังธรรมะไปดูกองไฟไปจนหลวงพ่อสุบินจะกลับมาจากบิณฑบาตในเวลาประมาณเจ็ดโมงเช้า
ส่วนช่วงเย็นหลังจากเสร็จจากการขุดกระดูกไดโนเสาร์ พวกเราคณะสำรวจไดโนเสาร์ก็จะเดินทางกลับมาที่วัดเพื่อมาพักผ่อน หลังจากที่อาบน้ำและกินข้าวเย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อย และแล้วเวลาของการก่อไฟของผมก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งในเวลาประมาณหกโมงครึ่ง
จากประสบการณ์ในการก่อกองไฟของผมพบว่า การก่อกองไฟกองแรกจะยากที่สุด แต่ถ้าหากมีกองไฟกองเดิมอยู่แล้วถึงแม้ไฟที่เราก่อจะมอดดับลงไปและเราได้เติมเชื้อไฟลงไปถึงแม้เชื้อไฟจะมีปริมาณน้อย แต่ไฟก็จะลุกติดได้ง่ายเสียเหลือเกิน มันก็คงจะเป็นเหมือนดังกองไฟในใจของผม คือ เมื่อมีเรื่องมากระทบจิตใจถึงแม้ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยก็ตาม ไฟในใจของผมก็ลุกโชนขึ้นมาทันที การก่อกองไฟที่วัดห้วยหินเกิ้งได้สอนธรรมะกับผมหลายอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือ มันได้เตือนสติของผมว่า ถ้าหากเรายังไม่มีกองไฟในใจ กรุณาอย่าได้ก่อมันขึ้นมาเลยครับเพราะมันดับได้ยากเอาน้ำมากมายมาดับก็ดับมันไม่ได้ ต้องอาศัยธรรมะในการดับ แต่ถ้าหากในใจของเราเต็มไปด้วยกองไฟของกิเลสและแม้ว่าตอนนี้เรายังดับไฟของกิเลสไม่ได้ อย่างน้อยเราก็อย่างเติมเชื้อไฟลงไป เมื่อไฟไม่มีเชื้อไม่นานนักไฟมันก็จะดับไปเองครับ

คนขุดซาก เขียน

ผีเม่มาย

พี่เกษรและพี่ประเสริฐเป็นสองหนุ่ม(ใหญ่) ที่ร่วมทีมสำรวจในคณะสำรวจไดโนเสาร์ของเรา
พี่เกษรและพี่ประเสริฐเป็นนักดื่มที่มีจรรยาบรรณสูงมากเพราะสองหนุ่ม(ใหญ่) นี้ไม่ยอมดื่มเหล้าในวัด(ดูดีมาก) ทั้งสองคนจึงเสาะแสวงหาสถานที่ดื่มเหล้าที่อยู่นอกวัด โดยที่มีข้อแม้ว่าจะต้องเลือกสถานที่ที่มีบรรยากาศดีๆใต้แสงจันทร์ คือต้องเอาบรรยายกาศดีๆไว้ก่อน ปานประหนึ่งดั่งคำที่โกวเล้งได้กล่าวเอาไว้ว่า “ตัวของข้าพเจ้าไม่นิยมชมชอบการดื่มสุรา แต่ข้าพเจ้านิยมชมชอบบรรยากาศในการร่ำสุรา” และแล้วฝันของพี่ทั้งสองคนก็เป็นจริง เย็นวันหนึ่งทั้งสองหนุ่มแอบหนีไปร่ำสุรากันนอกวัด ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่ได้หมายตาเอาไว้ก่อนแล้ว(ตั้งแต่เที่ยง)

ประมาณสามทุ่มพี่ทั้งสองคนก็กลับเข้ามาที่แคมป์โดยที่พี่เกษรมีอาการหงุดหงิดเล็กน้อย แถมต่อว่าพวกเราโดยเฉพาะนู๋หลิงว่านินทาแก เพราะแกได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อแกตั้งสามครั้งสี่ครั้ง(แต่พี่ประเสริฐไม่ได้ยิน แปลก) พวกเราที่อยู่ในแคมป์ก็งงเพราะไม่มีใครเรียกชื่อหรือพูดถึงแกเลยเพราะหลังจากที่เรากินข้าวเย็นเสร็จแล้ว พวกเราก็ได้นั่งสนทนาธรรมกับหลวงพ่อสุบินต่อ พอสอบถามว่าสองหนุ่มไปนั่งดื่มเหล้าที่ไหนมา ปรากฎว่าเป็นเรื่องเลยครับ หายเมาเลยครับจากหน้าที่เคยแดงเปลี่ยนมาเป็นหน้าซีดเลยครับ เพราะสถานที่ที่แกไปนั่งร่ำสุรากันนั้นมีชื่อเรียกว่า “เนินแม่ม่าย” ชาวบ้านบอกว่าผีแม่ม่ายดุและเอาผู้ชายในหมู่บ้านไปทำผัวหลายคนแล้ว ไอ้คนที่รอดตายก็เอาต้องทำปลัดขิกไปถวาย เอาเคล็ดครับเอาของปลอมไปแลกกับของจริง(เกือบไปแล้วพี่เกษร)
ในคืนนั้นทุกคนก็เข้าเต้นท์นอนกันเงียบ ขนาดตัวผมเองปวดฉี่ยังไม่กล้าออกมาเข้าห้องน้ำเลยครับ กระเพาะปัสสาวะแทบอักเสบเพราะต้องนอนอั้นฉี่ทั้งคืน

คนขุดซาก เขียน

ของดีอยากได้ต้องทำเอง (ของขลังกับยันต์หนุมาน)

ผมเป็นอีกคนหนึ่ง ที่เป็นคนชอบสะสมและเสาะแสวงหาของขลังของดีเป็นชีวิตจิตใจ ของใครว่าดีของใครว่าขลังเป็นเก็บหมด จนหมดเงินหมดทองไปกับของขลังไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ 

วันแรกที่ผมมาถึงวัดห้วยหินเกิ้งผมเห็นหลวงพ่อสุบินสักยันต์เต็มตัวไปหมด โดยเฉพาะที่หน้าอกด้านขวามียันต์หนุมานทรงพล(เท่ห์ได้ใจ) ผมคิดในใจว่ากูมาถูกวัดแล้ว วัดป่าบ้านนอกไกลผู้ไกลคนและหลวงพ่อสมภารสักยันต์เต็มตัว คราวนี้กูต้องได้ของดีแน่ๆ
 ผมก็เพียรพยายามตามตื้อตามขอของดีจากหลวงพ่อสุบิน 
หลวงพ่อสุบินก็บอกว่าอาตมาไม่มีของดีหรอกโยม ของดีของขลังคือธรรมะของพระพุทธองค์หากใครประพฤติปฏิบัติก็จะเห็นผลได้อย่างอัศจรรย์ 
ขนาดหลวงพ่อสุบินบอกกับผมอย่างนี้ผมก็ยังมีดวงตามืดบอดอยู่เลยครับ คิดแต่เพียงว่าถ้าหลวงพ่อสุบินไม่ให้เหรียญ ผมขอแค่ชายจีวรของหลวงพ่อสุบินก็ได้จะลองเอาไปยิงดู ดูซิว่าจะเหนียวไหม 

ผมขอตั้งแต่วันที่มาวัดวันแรกจนกระทั่งถึงวันเดินทางกลับหลวงพ่อสุบินก็ไม่ให้ 
ผมก็เลยเปลี่ยนแผน คือ ผมคิดว่าถ้าผมขอของดีจากหลวงพ่อสุบินทางตรงไม่ได้ ผมก็น่าจะเข้าทางยายหนูจีนซึ่งเป็นโยมอุปฐาก ผมกะจะให้ยายหนูจีนขอของดีให้ผม 

ผมจึงเดินเข้าไปหาแม่หนูจีนแล้วก็ถามแม่หนูจีนว่าหลวงพ่อสุบินทำของดีแจกบ้างไหมครับยาย 
คำตอบที่ได้ลมแทบจับเลยครับ ดวงตาเห็นธรรมเลยครับ 

ยายหนูจีนบอกกับ ผมว่าในชั่วชีวิตของพระพุทธองค์พระองค์แจกแต่ธรรมะ พระพุทธเจ้าไม่เคยสร้างพระเครื่องแจกเลยตลอดพระชนม์ชีพ(จริงของยาย) ไอ้ของขลังของดีมันเป็นของลวงโลกเป็นมายา ของแท้ของดีคือธรรมะของพระพุทธเจ้าทั้งขลังทั้งดี นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็อายยายเฒ่าคนเลี้ยงวัวแกจะรู้หนังสือหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่แกรู้ธรรมะได้ลึกและคมเหลือเกิน นึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็นึกถึงคนไม่รู้หนังสือคนหนึ่งที่ชื่อ “เว่ยหล่าง” เว่ยหล่างกล่าวเอาไว้ว่า “เดิมทีไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีกระจกเงาใส แล้วฝุ่นละอองจะลงจับอันใดเล่า”

คนขุดซาก เขียน

ความมีน้ำใจสุดประเสริฐของยายหนูจีน

ยายหนูจีน  ดื่มโชค ผู้มากด้วยน้ำใจเป็นคุณยายของน้องฟลุ๊ค ซึ่งน้องฟลุ๊คเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยเหลือทีมสำรวจไดโนเสาร์เป็นมาก กิจวัตรประจำวันของยายหนูจีนก็คือ ตอนเช้าจะต้องหาบปิ่นโตและของต่างๆมาถวายหลวงพ่อสุบินที่วัด ยายหนูจีนแกจะหาบของมาหลังจากหลวงพ่อสุบินกลับมาจากบิณฑบาตรสักแป๊ปนึง 

หลวงพ่อสุบินเคยพูดกับผมว่ายายหนูจีนแกเป็นคนมีน้ำใจเหลือเกิน แกทำบุญตั้งแต่เป็นสาวๆจนเดี๋ยวนี้น้องฟลุ๊คปาเข้าไปสิบกว่าขวบแล้วมั้งครับ พอแกได้อะไรมาตัวเองไม่ได้กินหรอกครับเอามาทำบุญก่อนของดีๆแกเอาไปใส่บาตรหมด 

ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเชื่อหลวงพ่อสุบินเท่าไหร่หรอกครับ จนเรื่องมาประสพกับตัวผมเองครับ  คือว่าก่อนวันมาฆบูชาหนึ่งวันทางวัดและคณะญาติโยม ก็ได้จัดเตรียมสถานที่และความพร้อม(ของรสชาติอาหาร) โดยได้จัดงานเลี้ยงอาหารเย็นให้กับคณะสำรวจไดโนเสาร์  เย็นนั้นมีกับข้าวหลายอย่างมากเลยครับเยอะเสียจนจำไม่ได้ว่ากินอะไรไปมั่ง แต่ที่จำได้ก็คือ “ขนมจีนน้ำยา” เพราะน้ำยาจะข้นอร่อยมากและไม่เผ็ดจนเกินไป ผมกินไปก็เพ้อพูดไปว่า น้ำยาอร่อยๆ แล้วเวลากินของอร่อยๆ ผมก็คิดถึงพ่อถึงแม่ คิดถึงแฟน คิดถึงคนงานที่ภูเวียง อยากจะเอาไปฝากคนงานที่ภูเวียงครับ เพราะว่าอยากให้เขากินของอร่อยๆกัน ผมเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่ที่ภูเวียงเป็นเวลาเกือบห้าปีครับ 

เย็นนั้นผมกินขนมจีนน้ำยาไปตั้ง 3 จาน(ฮ่าๆ) แล้วฝันของผมก็เป็นจริงครับ คือว่าหลังจากที่เราทอดผ้าป่าวันมาฆบูชาเสร็จ ก็มีคนเอาขนมจีนน้ำยามาให้ผม  2 ชุดใหญ่ๆ แล้วบอกว่ายายหนูจีนฝากมาให้ ให้ผมเอาไปภูเวียง เพราะเมื่อคืนได้ยินผมพูดว่าขนมจีนน้ำยาอร่อยและผมขอไปภูเวียงให้คนงานของผมได้กินบ้าง แม่หนูจีนแกฝากมาบอกว่าแกเป็นคนทำเองและดีใจมากที่พวกเราชอบผีมือการทำอาหารของแก  พอได้ยินอย่างนี้แล้วน้ำตาไหลเลยครับ เป็นอีกครั้งในชีวิตของผมที่ได้เห็นความงามของชีวิต

คนขุดซาก เขียน

ยายหนูจีนคนเลี้ยงวัว กับน้องฟลุ๊ค

ยายหนูจีน  ดื่มโชค หญิงชราผู้รับจ้างเลี้ยงวัวหาเงินเพื่อส่งหลาน คือ น้องฟลุ๊ค เรียนหนังสือ คุณพ่อกับคุณแม่ของน้องฟลุ๊คแยกทางกัน ยายหนูจีนซึ่งเป็นคุณยายของน้องฟลุ๊คจึงนำน้องฟลุ๊คมาอุปการะเลี้ยงดู 

ยายหนูจีนพูดกับผมว่ายายยอมทำงานหนัก เพื่อหาเงินให้น้องฟลุ๊คเอาไปใช้ที่โรงเรียนเฉพาะค่าน้ำมันรถจากบ้านไปโรงเรียนก็ตกวันละสามสิบบาทแล้ว ไหนจะค่าขนมอีกเด็กมันเห็นเพื่อนกินแล้วมันไม่ได้กินมันจะมีปมด้อย แกกลัวหลานจะน้อยเนื้อต่ำใจว่าอยู่กับยายแล้วอดๆอยากๆ กลัวว่าเด็กจะคิดว่าถ้าได้อยู่กับพ่อกับแม่คงจะสบายกว่านี้

 ผมอยากจะบอกกับยายหนูจีนว่าทั้งหมดที่ยายหนูจีนทำให้น้องฟลุ๊คมันมากมายเหลือเกิน และผมก็ยังเชื่อมั่นอีกว่าความรักของยายที่มีให้กับน้องฟลุ๊คนั้นจะเป็นเกราะป้องกันทางจิตใจให้เขาเข้มแข็งในการทำความดี และปฏิเสธที่จะทำชั่ว ฟลุ๊คครับพี่เชื่อว่าฟลุ๊คโตขึ้นฟลุ๊คจะต้องเป็นคนดี เป็นผู้ใหญ่ที่ดีมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคม เราต้องเปลี่ยนปมด้อยให้เป็นปมเด่นคนเราเลือกเกิดไม่ได้ก็จริง แต่เราเลือกที่จะทำดีหรือทำเลวได้ไม่ใช่เหรอครับฟลุ๊ค

คนขุดซาก เขียน

หลวงพ่อองค์ดำ

ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนที่ผมจะไปราชการต่างจังหวัดเพื่อทำการสำรวจและขุดค้นไดโนเสาร์ที่แหล่งมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น พี่อึ่ง หรืออีกชื่อหนึ่งคือพี่เดือนซึ่งเป็นชื่อที่เรียกกันในที่ทำงาน ก็นำซองขาวมาให้ผมหนึ่งซองพร้อมกับจ่าหน้าซองว่า นายสุธี  จงอัจฉริยกุล และครอบครัว 

ทันทีที่ผมเห็นซองขาวผมก็นึกขึ้นในใจว่า “กูโดนอีกแล้ว” ก่อนที่ปากผมจะขยับเพื่อทำการปฏิเสธพี่เดือนก็ชิงพูดโน้มน้าวว่าทางวัดที่เราจะไปอาศัยพักค้างแรม มีความประสงค์จะสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัยมีขนาดหน้าตักกว้าง 6 เมตร ซึ่งจำลองมาจากหลวงพ่อองค์ดำแห่งมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ประเทศอินเดียขณะทรงแสดงธรรมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ใต้ต้นโพธิ์เป็นครั้งแรกในวันเพ็ญเดือนแปด เมื่อพี่อึ่งชักแม่น้ำทั้งห้าผมก็เริ่มตกอยู่ในภวังค์และยื่นมือไปรับซองผ้าป่าแบบไม่รู้ตัว ทันทีที่ผมและคณะสำรวจได้เดินทางไปถึงวัด ผมก็เห็นพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง กำลังสาระวนอยู่กับการขนหินขนกรวดเพื่อนำมาผสมปูน สร้างหลวงพ่อองค์ดำบริเวณหน้าวัด หลวงพ่อองค์ดำที่ทางวัดจัดสร้าง เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นผสมกรวดองค์ใหญ่มาก 

พระภิกษุผู้ทำการสร้างหลวงพ่อองค์ดำนี้มีชื่อว่าหลวงพ่อสุบิน  ขันติรโต หลวงพ่อสุบินเป็นพระที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ บึกบึนแม้จะมีอายุมากแล้ว ท่านทำงานขนหินขนกรวดตากแดดจนตัวดำเมี่ยม ทำงานทุกวันอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ผมและคณะได้อาศัยวัดเกือบสองอาทิตย์ก็เห็นวัตรปฏิบัติอันงดงามของหลวงพ่อสุบินจนผมสามารถกล้ารับประกันได้เลยว่า ถ้าหากใครใส่บาตรกับหลวงพ่อสุบิน แล้วจะไม่รู้สึกเสียดายข้าวสุกที่ใส่เลยแม้แต่เม็ดเดียว และผมก็อยากจะนมัสการกราบเรียนหลวงพ่อสุบินว่า ที่วัดห้วยเกิ้งตอนนี้ก็มีหลวงพ่อองค์ดำอยู่แล้วล่ะครับ 

ซึ่งก็คือหลวงพ่อสุบินเองนั้นแหละครับที่เป็นหลวงพ่อองค์ดำแห่งวัดห้วยหินเกิ้ง

คนขุดซาก เขียน

ความในใจจากคนเล่าเรื่อง

มูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดนิยายธรรมะเล่มนี้เริ่มมาจากการที่ผมและคณะสำรวจไดโนเสาร์ต้องไปขุดสำรวจไดโนเสาร์ที่อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น โดยที่ผมและคณะได้อาศัยพักค้างแรมที่วัดห้วยหินเกิ้ง ( ชื่อเดิม ) เป็นเวลาร่วม ๒ อาทิตย์ (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑) แล้วก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของผมอย่างมากมาย ซึ่งผมคิดว่าน่าจะจดบันทึกเอาไว้ ต่อไปหากมีเวลาว่างจะได้นำมาอ่านเล่นเพื่อบำรุงสุนทรียภาพให้กับชีวิต และเพื่อให้ชีวิตมีรอยยิ้มบ้างในภาวะที่โลกเต็มไปด้วยกระแสวัตถุนิยมอันเชี่ยวกรากชีวิตก็คงจะมีความสุขดี สำหรับบุคคลที่มีรายชื่อและถูกผมกล่าวพาดพิงในนิยายธรรมะ ผมกราบขออภัยมา ณ ที่ตรงนี้ด้วยนะครับไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อสุบิน ยายหนูจีน พี่แน่น พี่เดือน  พี่อ้อย  นู๋หลิง  พี่เกษร  พี่ประเสริฐ  พี่สุวัฒน์  พี่มุกดา  และทุกๆคนที่ผมได้ล่วงเกินด้วยกายกรรม  วจีกรรม และมโนกรรม  อโหสิให้ผมด้วยนะครับ
แต่เนื่องจากภาระหน้าที่และเหตุปัจจัยในขณะนั้น ทำให้นิยายธรรมะเรื่องนี้คลอดออกมาล้าช้าเป็นเวลาร่วมปี นิยายบางเรื่องจึงไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าไหร่ บางบทบางตอนเนื้อหาก็กระโดดข้ามไปข้ามมา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีความตั้งใจว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงบางบทให้สอดคล้องกัน เนื่องจากต้องการให้เนื้อหาเกิดจากอารมณ์การรับรู้ตอนนั้นจริงๆ
ในปัจจุบันนี้ กระแสของการนั่งวิปัสสนามีค่อนข้างมากโดยเฉพาะในกลุ่มของคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ อีกทั้งมีผู้แต่หนังสือธรรมะออกมาค่อนข้างมาก มากเสียจนเฟ้อ ส่วนใหญ่จะเป็นธรรมะเคลือบน้ำตาล รสหวานกินง่ายแต่กินเข้าไปมากๆแล้วฟันจะผุ ผมเป็นคนหนึ่งที่ปฏิเสธถ้อยคำที่ฟุ่มเฟือยและเคลือบน้ำตาลเหล่านั้น และกล้าที่จะพูดได้ว่านิยายธรรมะของผมเป็นไปเพื่อ “หนทาง” ทางนั้นของพระพุทธองค์ ผมไม่ได้มีเจตนาแต่งนิยายธรรมะเพื่อเป็นไปตามกระแสนิยม หรือต้องการให้ตัวเองเป็นที่รู้จักและยอมรับในสังคมเลยแม้แต่น้อย ก็ในเมื่อเดิมทีไม่มีต้นโพธิ์และกระจกเงาใส แล้วฝุ่นละอองจะลงจับอะไรได้ล่ะครับ
สุธี  จงอัจฉริยกุล